พ่อบอกว่า ถ้าพ่อตาย ไม่ต้องสวดอภิธรรมนะ
เราถามว่า ทำไมไม่สวดหล่ะครับ?
พ่อบอกว่า สวดอภิธรรม คือการสวดเพื่อให้คนเป็นได้รู้จักธรรมมะ ได้สำนึกการใช้ชีวิตว่าอย่าประมาท แต่สมัยนี้ ต่อให้สวด 100 วัน ก็ไปนั่งคุยกัน ก้มหน้า ก้มตาดูแต่โทรศัพท์ สู้ให้พระท่านพักผ่อนดีกว่า หรือถ้าขัดไม่ได้จริงๆ คือสวดแค่ 1 คืน แล้วเผาเลย...
เราถามต่อว่า แล้วอย่างนี้ลูกหลานจะมาทันเผาหรือครับ...?
พ่อบอกว่า การเผาศพนั้นเป็นหน้าที่ของสัปเหร่อ ส่วนลูก หลาน ญาติพี่น้องคือผู้ร่วมพิธี และถ้าเขาคิดถึงเราให้มาหาตอนยังไม่ตาย ตอนที่พ่อมีชีวิตอยู่จะได้รู้สึกถึงความรักและกตัญญูของลูกหลาน ของญาติพี่น้องพอได้ชื่นใจบ้าง
แต่หากตายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมาก็ได้ ลำบากกันเปล่าๆ มีอะไรที่จำเป็นต้องทำ ก็ทำต่อไป และการมางาน คนอยู่ที่นี่ ก็ต้องลำบากเตรียมการดูแลต้อนรับอีก...
เรายังสงสัย... แล้วคนที่เราเคยไปช่วยงานเขาแล้วเขาอยากกลับมาช่วยงานเราคืนบ้างหล่ะ หรือคนที่รู้จักที่นับถือกันอยากมาร่วมทำบุญกับพ่อหล่ะครับ?
พ่อบอกว่า เวลาที่เราทำบุญทำทาน ทำความดี อย่าหวังถึงสิ่งตอบแทน หรือคาดหวังว่าเขาต้องกลับมาตอบแทนเรา การทำบุญทำทาน ให้ทำตามกำลังเรา ให้ไปแล้วคือการได้ฝึกทำจิตใจให้ละซึ่งกิเลส ความอยากต่างๆ และสำหรับคนที่รู้จัก อยากทำบุญร่วมกับพ่อ ก็ให้เขาเอาส่วนนั้นทำกับพ่อแม่หรือบุพการีของเขา ถ้าไม่มีก็ไปทำบุญที่วัด หรือกับผู้ยากไร้ หรือที่ไหนก็ได้ตามสะดวกของแต่ละคน แล้วจุดธูปอธิษฐานจิตบอกพ่อก็น่าจะได้ ถ้าเป็นไปได้ ลูกหลาน ญาติสนิท มิตรสหาย ใครทำบุญทำความดีก็ได้กับตน คนนั้นแหละ
และการอ่านประวัติ ก็ไม่จำเป็นต้องสรรหาคำมาบอกเล่าคุณความดีให้เสียเวลาเผา เดี๋ยวจะค่ำมืดกว่าจะได้เก็บกระดูก เพราะที่ผ่านมา และนับจากนี้ พ่อจะสร้างคุณค่า และความดีไว้กับแผ่นดิน ด้วยการอยู่ในกรอบระเบียบของสังคม ไม่ขัดแย้งกับใคร อยู่อย่างพอเพียง ปลูกต้นไม้ สร้างป่า และธรรมชาติ เป็นอนุสรณ์ให้บอกเล่าประวัติของตัวเอง...พอใจแล้ว...
เราหมดคำถาม...
อ่านแล้วชอบมากค่ะ ความคิดเห็นตรงกันกับเรามากๆเลย ท่านใดอยากทำบุญด้วยเวลาบอกบุญก็ขอให้ร่วมกันทำบุญด้วยละกัน มีไรอยากแบ่งปันให้กินก็รีบส่งไปให้กิน ไม่ต้องการตอนป่วยหรือถวายพระให้ตอนตาย เพราะไม่ได้กิน... ขอขอบคุณล่วงหน้านะคะ
วัดโมกข์ขอยกข้อความนี้เป็นธรรมทาน... ขอขอบคุณผู้ลิขิตบทความนี้ไว้ สาธุ...
Comments